top of page
Search
Writer's pictureSudsukh Thavornthanasarn

หอม เป็นเอกลักษณ์ ของตัวคุณ ด้วย Custom Perfume DIY

ความมั่นใจของผู้หญิงและผู้ชายหลายๆคน นอกจากความสวยดูดีด้วยเครื่องสำอาง ดูสง่าและสะอาดสะอ้าน มีรูปร่างที่ดีจากการออกกำลังกาย ก็ยังมีมีกลิ่นติดตัวหอมๆก็สำคัญ ใครๆก็อยากจะเข้าใกล้คนมีกลิ่นตัวหอมชื่นใจ อันเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆและหนุ่มๆทุกคน การใช้น้ำหอมจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนหลายๆคน น้ำหอมนั้นมีหลากหลายแบบ หลายราคา ทั้ง counter brand และน้ำหอมทั่วๆไป นอกจากนี้ยังมีน้ำหอมที่ custom made ทำขึ้นเพื่อเฉพาะความต้องการและความชอบของแต่ละบุคคลอีกด้วย ซึ่งน้ำหอมประเภท custom made นี้มีสนนราคาค่าจ้างปรุงน้ำหอมค่อนข้างสูงมากๆทีเดียวค่ะ วันนี้แอดมินเลยอยากชวนเพื่อนๆมาทำความรู้จักการปรุงน้ำหอมไว้ใช้เอง เผื่อว่าในวันเบื่อๆที่เพื่อนๆไม่อยากใช้น้ำหอม counter brand บางวัน เพื่อนๆจะได้ใช้น้ำหอมปรุงเองที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเรา หอมฟุ้งมีเอกลักษณ์ด้วยความภูมิใจกันค่ะ


ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ notes ต่างๆ ของน้ำหอมก่อนค่ะ การทำน้ำหอม คือการปรุงผสานกลิ่นต่างๆ ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ หรือที่เขาเรียกกันว่า “notes” เวลาเพื่อนๆฉีดน้ำหอมลงบนผิวกาย เพื่อนๆจะค่อยๆ ได้กลิ่นน้ำหอมทีละ note ตามลำดับ โดยที่ Top notes คือกลิ่นแรกที่แตะจมูกของเพื่อนๆ และเป็นกลิ่นที่จะจางหายไปก่อนเพื่อน ปกติก็คือภายใน 10 - 15 นาที ต่อมากลิ่นของ Middle notes จะปรากฏหลัง top notes จางไป นี่แหละค่ะคือกลิ่นที่เป็น "แก่น" ของน้ำหอมของเพื่อนๆ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าน้ำหอมนั้นจัดอยู่ในตระกูลไหน เช่น เป็นน้ำหอมแบบ oriental (ออกแนวเครื่องเทศ), woody (โทนอุ่น), fresh (เบาๆ ใสๆ) หรือ floral (เน้นกลิ่นดอกไม้) และสุดท้ายก็คือ Base notes ซึ่งจะเป็นกลิ่นที่ช่วยเสริมเติมแต่ง middle notes ให้ยิ่งโดดเด่นยิ่งขึ้น นับเป็น "ธีมหลัก" หรือฐานของน้ำหอม เป็นกลิ่นสุดท้ายที่จะคงอยู่ ติดผิวของเพื่อนๆอีก 4 - 5 ชั่วโมง


กลิ่น top notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมหลักๆ ของน้ำหอมสมัยนี้ก็มีเช่น ลาเวนเดอร์, มินต์, ดอกส้ม (neroli), แล้วก็ส้มเกลี้ยง (sweet orange) เป็นต้น


กลิ่น middle notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมดู นั่นก็คือ อบเชย (cinnamon), กานพลู (clove), มะลิ, ตะไคร้ (lemongrass), ดอกส้ม (neroli), กุหลาบ, แล้วก็กระดังงา (ylang-ylang) เป็นต้น


ส่วนกลิ่น base notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมก็มี เช่น พิมเสน (patchouli), ไม้จันทน์ (sandalwood), แล้วก็ มัสก์ เป็นต้น ซึ่งมัสก์นี้นอกจากจะใช้เป็น base note และยังใช้เป็นสารลดกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ และเพิ่มความติดทนนานของน้ำหอมอีกด้วย


สัดส่วนที่เหมาะสม เวลาเพื่อนๆปรุงน้ำหอม ให้ใส่ base notes ก่อน จากนั้น middle notes แล้วปิดท้ายด้วย top notes สัดส่วนที่แนะนำในการผสม notes ต่างๆ ของน้ำหอมก็คือ top notes 30%, middle notes 50% แล้วก็ base notes 20% "สุคนธกร" หรือนักปรุงน้ำหอมบางคนแนะนำให้ผสม dominant notes หรือโน้ตหลักของน้ำหอมไม่เกิน 3-4 กลิ่นเท่านั้น


การปรุงน้ำหอมเบื้องต้น นอกจาก top, middle และ base notes แล้วเพื่อนๆจะต้องมี carrier oil คือน้ำมันกระสายยา หรือน้ำมันตัวพาสำหรับใช้ในการผสมน้ำหอมกลิ่นต่างๆให้เข้ากัน ซึ่งที่นิยมกันก็คือโจโจ้บาออยล์ (jojoba oil), น้ำมันสวีทอัลมอนด์ (sweet almond oil) แล้วก็น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น (grape seed oil) หรือถ้าเพื่อนๆไม่รังเกียจกลิ่นมะกอกจางๆ ก็อาจจะใช้ Extra virgin olive oil ก็ได้ carrier oil หรือน้ำมันตัวพานี่แหละคือสารที่จะทำให้กลิ่นน้ำหอมติดบนตัวคุณ ปกติจะไม่มีกลิ่นในตัวเอง และใช้ทำละลายหัวน้ำหอมกับสารประกอบอะโรมาติกไม่ให้เข้มข้นจนระคายเคืองผิว เมื่อเพื่อนๆเลือกน้ำมันตัวพามาได้แล้วก็ต้องค่อยๆ หยด base, middle แล้วก็ top notes ลงไปใน carrier oil และสุดท้ายคือสารที่จะช่วยประสานทุกส่วนผสมเข้าด้วยกัน ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือแอลกอฮอล์นี่แหละ เพราะระเหยเร็วแถมช่วยกระจาย notes ต่างๆ ของน้ำหอมด้วย เหล่านักปรุงน้ำหอมทำมือมักนิยมใช้วอดก้าคุณภาพสูง 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%) แต่ถ้าเพื่อนๆอยากทำน้ำหอมแห้ง (solid perfume) แบบตลับไว้ทาแต้มตามจุดต่างๆ เหมือนลิปบาล์ม (ซึ่งแอดมินจะเอาข้อมูลและวิธีทำมาเล่าให้เพื่อนๆในวันพรุ่งนี้ )ให้เปลี่ยนไปใช้ขี้ผึ้งเหลวเป็นสารยึดเกาะแทนแอลกอฮอล์หรือน้ำ


#สิ่งที่เพื่อนๆต้องใช้ในการทำน้ำหอม มีดังนี้

1. น้ำมันตัวพา 2 ช้อนโต๊ะ (เช่น โจโจ้บาออยล์, น้ำมันอัลมอนด์ หรือน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น)

2. แอลกอฮอล์ 100 - 190 proof 6 ช้อนโต๊ะ

3. น้ำดื่มบรรจุขวด 2.5 ช้อนโต๊ะ (ห้ามใช้น้ำก๊อก)

4. น้ำมันหอมระเหย 30 หยด (base, middle และ top อย่างน้อยอย่างละ 1กลิ่น)

5. ที่กรองกาแฟ

6. กรวยกรอกน้ำ

7. ขวดแก้วสะอาด 2 ขวด (หรือภาชนะอื่นที่ทำจากแก้วและมีฝาปิดสนิท)


#วิธีทำ

1.ใส่น้ำมันตัวพา 2 ช้อนโต๊ะในขวดแก้ว

2. ใส่น้ำมันหอมระเหย. ทั้งหมดประมาณ 30 หยด เริ่มจาก base notes ตามด้วย middle notes แล้วปิดท้ายด้วย top notes คำนวนให้ได้สัดส่วนที่แนะนำคือ base 20%, middle 50% แล้วก็ top 30%

Note: ระวังกลิ่นที่คุณใช้ปรุงให้ดี ถ้ากลิ่นหนึ่งแรงกว่ากลิ่นอื่นๆ มาก ก็ให้เติมน้อยหน่อย จะได้ไม่ไปกลบกลิ่นอื่นซะหมด

3. เติมแอลกอฮอล์. ต้องใช้แอลกอฮอล์คุณภาพสูงที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงตามไปด้วย วอดก้านี่แหละที่นิยมกันในหมู่นักปรุงน้ำหอมทำมือ

4. รอน้ำหอมได้ที่อย่างน้อย 1 อาทิตย์ โดยปิดฝาขวดที่ปรุงน้ำหอมให้สนิทแล้วบ่มไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เพื่อให้กลิ่นน้ำหอมเข้าที่ก่อนนำมาใช้งาน หรือจะนานเป็น 6 อาทิตย์ก็ยังได้ ซึ่งจะเป็นตอนที่กลิ่นกำลังแรงได้ที่เลย หมั่นเช็คกลิ่นเป็นระยะ ว่ากลิ่นไปถึงไหนแล้ว

5. พอได้กลิ่นที่ต้องการแล้ว ก็ให้เติมน้ำสะอาดจากขวด 2.5 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำหอม เขย่าขวดน้ำหอมแรงๆ ประมาณ 1 นาที ให้แน่ใจว่าผสมเข้ากันดีแล้ว แล้วเทน้ำหอมใส่ขวดอื่น โดยใช้ที่กรองกาแฟกับกรวยกรอกน้ำหอมลงในขวดแก้วสีชาที่สะอาดเอี่ยม หรือเพื่อนๆจะใช้ขวดหรูๆ หน่อยก็ได้ค่ะ ถ้าจะให้เป็นของขวัญของฝาก

อาจจะติดฉลากบอกส่วนผสมกับวันที่ผลิตไปด้วยก็ได้ จะได้ดูว่าหมดอายุหรือกลิ่นเปลี่ยนเมื่อไหร่ ต่อไปจะได้รู้ควรทำมากน้อยแค่ไหนนะคะ


เห็นไหมคะเพื่อนๆ ว่าวิธีการปรุงน้ำหอมนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเลย ยากที่สุดก็คือการเลือกกลิ่นที่ใช่มาผสมผสานกันนี่แหละค่ะ อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆอยากลองปรุงน้ำหอมดูเองเพื่อให้ได้น้ำหอมอันมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนๆเอง ก็น่าสนุกไม่ใช่น้อยเลยนะคะ นอกจากนี้ก็คือความภูมิใจค่ะ ที่เพื่อนๆจะวสามารถบอกใครต่อใครได้ว่า “น้ำหอมนี้ฉันเป็นคนปรุงเอง” นะคะ ถ้าเพื่อนๆอยากลองปรุงน้ำหอมไว้ใช้เอง เพื่อนๆสามารถมาหาซี้อ น้ำมันหอมกลิ่นต่างๆ ได้ที่ร้านเรานะคะ ที่ร้านเรามีหัวน้ำมันหอมไว้ให้เพื่อนๆได้เลือกสรรค์ถึงเกือบหกสิบกลิ่นเลยทีเดียวเชียวค่ะ และถ้าเพื่อนๆอยากจะประหยัดไม่อยากจ่ายตังค์แพงๆค่า Vodka เพื่อนๆก็สามารถซื้อแอลกอฮอล์ที่ร้านเราไปเจือจางด้วยน้ำบริสุทธิ์ให้ได้ปริมาณแอลกอฮอล์ 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%) ได้นะคะ ถ้าเพื่อนๆไม่อยากพลาดโอกาสร่วมสนุก และสาระดีจากเราอีก อย่าลืมกด Like กดติดตามเพจของเรานะคะ


526 views0 comments

Comments


bottom of page